ยโสธร เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน
หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ
จังหวัดยโสธรเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งแม่น้ำชี
เป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในเขตภาคอีสานตอนล่าง
มีชื่อเสียงในการทำบั้งไฟจนได้ชื่อว่า “เมืองบั้งไฟ” ปัจจุบันมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองเกษตรกรรม
โดยเฉพาะเป็นแหล่งปลูกข้ามหอมมะลิที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศยโสธรมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่โดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต
และด้วยบรรยากาศของเมืองที่มีความสงบเงียบและเรียบง่ายตามแบบฉบับของเมืองอีสานที่ความเจริญในด้านต่างๆ
ยังมีไม่มากนัก
ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนเมืองนี้จึงได้สัมผัสกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวอีสานดั้งเดิม
และวัฒนธรรมพื้นบ้านอันงดงามบริสุทธิ์
ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่นับวันจะหาได้ยากในสังคมเมืองปัจจุบัน
จังหวัดยโสธรมีเนื้อที่ประมาณ
4,161
ตารางกิโลเมตร หรือ 2.6 ล้านไร่
เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 54 ของประเทศ
พื้นที่ทางตอนบนส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสลับกับพื้นที่ราบแบบลูกคลื่น
ทางตอนใต้เป็นที่ราบต่ำสลับซับซ้อน มีแม่น้ำชีไหลผ่าน
และมีหนองบึงกระจายอยู่ทั่วไป เป็นแหล่งทำการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาปลูกข้าวหอมมะลิ
มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำชี ลำน้ำทวน ลำโพง
และลำน้ำยังยโสธรเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกับจังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดอุบลราชธานี
โดยเริ่มก่อตั้งเป็นเมืองขึ้นในราวปี พ.ศ. 2314 เมื่อพระเจ้าตาของเจ้าพระวอ
เสนาบดีเก่านครเวียงจันทน์ อพยพครอบครัวและบริวารมาตั้งเมืองใหม่ ชื่อ “เมืองหนองบัวลุมภู” ต่อมาเมื่อสิ้นเจ้าพระวอ
เจ้าคำผงผู้น้องและบริวารจึงอพยพขึ้นมาตามลำน้ำมูลถึงห้วยแจระแม
แล้วมาสร้างเมืองใหม่ที่ดงอู่ผึ้ง
แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอขึ้นอยู่ภายใต้ปกครองของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี
พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองดังกล่าวนี้ว่า "เมืองอุบล"
และเจ้าคำผงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองอุบลหลังจากนั้นเจ้าฝ่ายหน้าผู้เป็นน้องของเจ้าคำผง
พร้อมกับไพร่พลและญาติอีกส่วนหนึ่งได้ขอแยกตัวไปอยู่ที่บ้านสิงห์ท่า
ซึ่งมีเจ้าคำสูปกครองอยู่
และได้ปรับปรุงและสร้างบ้านสิงห์ท่าจนเจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งปี พ.ศ. 2357 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง
ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และพระราชทานนามว่า "เมืองยศสุนทร"
ให้เจ้าราชวงศ์สิงห์เป็นเจ้าครองเมือง มีราชทินนามว่า "พระสุนทรราชวงศา"
เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองยโสธร ส่วนชื่อเมือง "ยศสุนทร" นี้ต่อมาเปลี่ยนเป็น
"ยะโสธร" มีความหมายว่า "ทรงไว้ซึ่งยศ"
และเปลี่ยนอีกครั้งเป็น "ยโสธร" และใช้มาจนปัจจุบันในสมัยรัชกาลที่ 5
เมืองยโสธรถูกรวมเข้าอยู่ในหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ
และต่อมาได้ยุบเลิกมณฑลอีสาน เมืองยโสธรก็ถูกรวมเข้ากับเมืองอุบล จนกระทั่งวันที่ 6
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 จึงได้มีประกาศคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ 70 ตั้งอำเภอยโสธรขึ้นเป็น “จังหวัดยโสธร”
โดยแยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว
อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม ของจังหวัดอุบลราชธานี ออกรวมกันเป็นจังหวัดยโสธร
เป็นจังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1
มีนาคม พ.ศ. 2515ปัจจุบันจังหวัดยโสธรแบ่งเขตการปกครองออกเป็น
9 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว
อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา อำเภอกุดชุม อำเภอค้อวัง อำเภอทรายมูล
และอำเภอไทยเจริญ
ทิปส์ท่องเที่ยว - สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวย้อนยุค การไปเดินชมตึกรามบ้านช่องเก่าแก่ที่บ้านสิงห์ท่านับเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจ ในย่านนี้มีตึกแถวโบราณที่ยังคงความงดงามแม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน
|